วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

6 เทคนิคพูดภาษาอังกฤษให้เก่งด้วยตัวเอง

6 เทคนิคพูดภาษาอังกฤษให้เก่งด้วยตัวเอง | ประสบการณ์ไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศ

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การใช้ some และ any





ทั้ง some และ any มีความหมายว่า "บ้าง" แต่ใช้แตกต่างกันดังนี้ 

1. some 

ใช้กับประโยคบอกเล่า ใช้ได้ทั้งกับนามนับได้และนามนับไม่ได้ 
เช่น

I have some pens. (ฉันพอจะมีปากกาบ้าง)
John wants some water. (John ต้องการน้ำบ้าง)

There are some books on the table. (มีปากกาอยู่บนโต๊ะบ้าง)

There is some sugar in the bowl. (มีน้ำตาลทรายอยู่ในชามบ้าง)

2. any 

2.1 ประโยคปฏิเสธ ใช้ได้ทั้งกับนามนับได้และนามนับไม่ได้ แต่ความหมายจะเปลี่ยนเป็น
"ไม่ ______ เลย" เช่น

I don't have any pens. (ฉันไม่มีปากกาเลยสักด้าม)
John doesn't want any water. (John ไม่ต้องการน้ำเลย)

There aren't any pencils under the table. (ไม่มีดินสออยู่ใต้โต๊ะเลยสักแท่ง)

There isn't any tea in the cup. (ไม่มีน้ำชาอยู่ในถ้วยเลย)



2.2 ประโยคคำถาม ใช้ได้ทั้งกับนามนับได้และนามนับไม่ได้ แต่ความหมายจะเปลี่ยนเป็น

"_______ บ้างไหม" เช่น

Do you have any pens? (คุณมีปากกาบ้างไหม)
Does John want any water? (John ต้องการน้ำบ้างไหม)

Are there any books in the schoolbag? (มีหนังสืออยู่ในกระเป๋าเรียนบ้างไหม) 

Is there any coffee in the cup? (มีกาแฟอยู่ในถ้วยบ้างไหม)



30 สำนวนภาษาอังกฤษ คำสแลงที่มักเจอในชีวิตประจำวัน









1. “Twenty-four Seven”  สำนวนนี้หมายความว่าอะไร เนื่องจากหนึ่งวันมี 24 ชั่วโมง และหนึ่งอาทิตย์ก็มี 7 วัน สำนวนนี้จึงมีความหมายว่า “ตลอดเวลา ทุกๆนาทีของทุกๆวัน” ค่ะ
2.  “Get the ball rolling” ความหมายของสำนวนนี้ก็คือ “เริ่มทำอะไรสักอย่าง” แค่จำไว้ว่า “Let’s get the ball rolling” ความหมายเท่ากับ “Let’s start now-เราเริ่มกันเถอะ”
3. “Take it easy”  ถ้ามีคนพูดกับคุณว่า “I don’t have any plans this weekend.  I think I’ll take it easy.” ความหมายของสำนวนนี้ก็คือ “ผ่อนคลาย” หรือ “พักผ่อน” ค่ะ สำนวนนี้ก็เข้าใจง่ายเหมือนกันค่ะ “I’m going to take it easy.” ความหมายก็คือ “I’m going to relax.-ฉันจะพักผ่อนสักหน่อย”
4. “Sleep on it” ถ้ามีคนๆหนึ่งพูดว่า “I’ll sleep on it.” ความหมายของเขาก็คือ “ฉันขอใช้เวลาในการตัดสินใจสักหน่อย” เพราะฉะนั้น ถ้ามีคนพูดกับคุณว่า “I’ll get back to you tomorrow.  I have to sleep on it.” ความหมายของเขาก็คือ “ฉันขอเวลาตัดสินใจสักหน่อย แล้วจะบอกคำตอบพรุ่งนี้” เพราะฉะนั้น “Sleep on it คือ ขอเวลาตัดสินใจ แล้วจะบอกคำตอบทีหลัง” ค่ะ
5. “I’m broke.” อันนี้ได้ยินบ่อยมากๆเลยค่ะ สำนวนนี้ไม่ได้หมายความว่ามีร่างกายส่วนหนึ่งส่วนใดเสียหรือใช้การไม่ได้แต่ความหมายจริงๆของสำนวนนี้ก็คือ “ฉันไม่มีเงินเลย” หรือ “ถังแตก” นั่นเองค่ะ “I’m broke.” เท่ากับ “I have no money – ฉันไม่มีเงินเลย” สำนวนนี้ใช้กันมาก และได้ยินกันบ่อยๆค่ะ
6. “Sharp” เมื่อใช้กับเวลา ยกตัวอย่างเช่น “The meeting is at 7 o’clock sharp!” คุณว่าหมายความว่าอะไรคะ ความหมายก็คือ “การประชุมจะเริ่มตอนเจ็ดโมงเป๊ะ” เวลามีคนใช้คำว่า “Sharp” ตามหลังเวลาพูดกับคุณ ความหมายก็คือเขาต้องการย้ำเวลานั้นๆ และบอกคุณว่า “อย่ามาสายนะ”
7. “Like the back of my hand”  ความหมายของสำนวนนี้คืออะไร “the back of my hand หรือ หลังมือของตัวเอง” เป็นสิ่งที่ตัวเองต้องคุ้นเคยเป็นอย่างดี คุณรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับหลังมือคุณ คุณเห็นอยู่ทุกวัน เพราะฉะนั้นถ้าฉันพูดว่า “I know this city like the back of my hand.” ความหมายของฉันก็คือ “ฉันรู้จักเมืองนี้ดีมากๆ ฉันคุ้นเคยกับเมืองนี้” สำนวนนี้ก็ใช้กันบ่อยมากค่ะ เราอาจปรับเปลี่ยนใช้สำนวนนี้ได้ว่า “He knows this city like the back of ‘his’ hand” ก็ได้นะคะ ความหมายก็จะยังเหมือนกัน ก็คือ “รู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งดี หรือ คุ้นเคยเป็นอย่างดี” ค่ะ
8. “Give me a hand.” ถ้ามีคนพูดกับคุณว่า “Do you want to give me a hand?” เขาหมายความว่า “Do you want to help me?” สมมุติว่ามีคนๆหนึ่งถือของมา แล้วเขาพูดว่า “Would you give me a hand?” เขาไม่ได้ขอมือคุณเฉยๆนะคะ เขากำลังขอให้คุณช่วยเขาหน่อยค่ะ “Would you give me a hand?” คือ “Would you help me?-คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม”
9. “In ages” ยกตัวอย่างเช่นใช้ในประโยคว่า “I haven’t seen him in ages” ความหมายของ “in ages” ก็คือ “for a long time-เป็นเวลานานมาก” นั่นเองค่ะ เพราะฉะนั้น “I haven’t seen him in ages” ก็เท่ากับ “I haven’t seen him for a long time-ฉันไม่ได้เจอเขามานานมากแล้ว” จำไว้นะคะ “in ages” แปลว่า “เป็นเวลานานมาก”
 10. “Sick and tired” สำนวนนี้แปลได้ว่า “ไม่ชอบ หรือ เกลียด” ค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณพูดว่า “I’m sick and tired of doing homework.” ความหมายก็คือ “ฉันไม่อยากทำการบ้านแล้ว ฉันไม่ชอบทำการบ้านเลย”
11. “behind one’s back”  แปลว่า พูดหรือกระทำโดยอีกคนหนึ่งไม่รู้ตัว หรือ พูดลับหลัง ตัวอย่างเช่น Pete loves to gossip Jay behind his back. (พีทชอบที่จะนินทาเจลับหลัง โดยเขาไม่รู้ตัว)
12. “turn one’s back on”  แปลว่า ไม่สนใจ ไม่ช่วยเหลือ ทอดทิ้ง  ตัวอย่างเช่น John never turn his back on his girlfriend when she needs help. (จอห์นไม่เคยไม่เคยทอดทิ้งเฉยเมยต่อแฟนสาวของเขา เมื่อเธอต้องการความช่วยเหลือ)
13. “get back at”  แปลว่า แก้แค้น แก้เผ็ด เอาคืน ตัวอย่างเช่น If it takes me 10 years I will get back at him. (ถึงแม้จะต้องเสียเวลาสัก 10 ปี ผมก็จะต้องแก้แค้นมัน)
14. “hold something back”  แปลว่า ซ่อน ไม่เปิดเผย ไม่เต็มใจเปิดเผย ตัวอย่างเช่น I could tell from his nervousness that he was holding back something. (ฉันสามารถจะบอกจากอาการตื่นเต้นของเขาได้ว่า เขากำลังปิดบังอะไรบางอย่าง)
15. “be my guest” แปลว่า พูดหรือทำตัวตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจกัน
16. “be oneself” แปลว่า เป็นปกติธรรมดา “You haven’t been yourself lately. Is anything wrong?” (เธอดูเหมือนมีเรื่องไม่ค่อยสบายใจ มีอะไรรึเปล่า)
17. “be tired of” แปลว่า รำคาญ เบื่อ เช่น I was tired of working for other people, so now I’m self-employed. (ผมเบื่อที่เป็นลูกจ้าง ขณะนี้ได้ออกมาทำกิจการของตนเองแล้ว)
18. “beyond hope” แปลว่า ไม่มีโอกาสที่จะดีขึ้น ตัวอย่างเช่น Everyone has tired to help him with his drink problem, but I think he is beyond hope. (ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเขาได้พยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยให้เขาพ้นจากปัญหาดื่มเหล้า แต่ฉันว่าไร้ประโยชน์)
19. “big-headed” แปลว่า หยิ่งยะโส ตัวอย่างเช่น  “Here she comes! she always boasts about her success. I don’t know why she’s so big-headed.” (นี่ไงล่ะ คนที่ชอบคุยโวว่าตัวเองเก่ง ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงชอบอวดตัวเองนัก)
20. “A great deal” แปลว่า จำนวนมาก มากมาย ตัวอย่างเช่น We’ve heard a great deal about you. (พวกเราได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคุณมากมาย)
21. “After all”  แปลว่า อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น But after all, they are our children. (แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เป็นลูกๆ ของเรานะ)
22. “After one’s own heart” แปลว่า ได้ดังใจ สมใจคิด ถูกใจจริงๆ ตัวอย่างเช่น I love you, boy. You are always a child after my own heart. (พ่อรักลูกนะ ลูกเป็นลูกที่สมใจพ่อเสมอ)
23. “All over the place ” แปลว่า ทั่วทุกที่ ทุกหนทุกแห่ง กระจัดกระจาย เกลื่อน ตัวอย่างเช่น Your books are all over the place. (หนังสือของคุณวางอยู่ทั่วไปหมด)
24. “Around the corner” แปลว่า  อยู่ใกล้ๆ อยู่ไม่ไกล ใกล้เข้ามาแล้ว ตัวอย่างเช่น The examination is right around the corner. (การสอบใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว)
25. “As a matter of fact” แปลว่า อันที่จริง ตามที่จริง จริงๆ แล้วตัวอย่างเช่น As a matter of fact, l don’t like them either. (อันที่จริงแล้วฉันก็ไม่ชอบพวกเขาเหมือนกัน)
26. “As far as I am concerned” แปลว่า ตามความเห็นของฉัน ตามความคิดฉัน เท่าที่ทราบ ตัวอย่างเช่น As far as I am concerned, he should get fired. (ตามความเห็นฉันนะ เขาควรจะถูกไล่ออก)
27. “Watch your mouth” แปลว่า ระวังปาก ระวังคำพูด มีความหมายเดียวกับ Watch your tongue
28. “Let the cat out of the bag” แปลว่า หมายถึง หลุดปากเผยความลับออกมา ตัวอย่างเช่น  “I let the cat out of the bag about their wedding plans.”
29. “To feel under the weather”  หมายถึง ไม่สบาย ป่วย ตัวอย่างประโยค “I’m really feeling under the weather today; I have a terrible cold.”
30. “Jack of all trades” หมายถึง คนที่รู้ทุกอย่าง รู้ทุกเรื่อง แต่ไม่เก่งจริงสักอย่าง ตัวอย่างประโยค “A jack of all trades,master of none.” แปลว่า รู้ไปหมด แต่ไม่เก่งสักอย่าง


การใช้ be going to และ will


Big_08.10.15-engoo

เวลาเราจะบอกอะไรเกี่ยวกับอนาคต ในภาษาอังกฤษนั้นพูดได้หลายแบบ แต่วันนี้เราจะมาเรียนรู้การใช้ be going to และ will กัน

be going to และ will มีความหมายเดียวกันเมื่อใช้คาดการณ์เกี่ยวกับอนาคต เช่น

John is going to leave at 6 tomorrow morning. = จอห์นจะออกเดินทางตอน 6 โมงเช้า
(be เป็นความรู้พื้นฐาน ซึ่งก็คือ is, am, are, was, were นั่นเอง อันนี้ไม่รู้ไม่ได้นะจ๊ะ)

John will leave at 6 tomorrow morning. = จอห์นจะออกเดินทางตอน 6 โมงเช้า

ในบางกรณี be going to และ will ก็ใช้ต่างกันโดย be going to จะ ช่วยสื่อให้เห็นว่าผู้พูดกำลังบอกแผนการที่วางไว้ล่วงหน้า

​I bought some wood because I am going to build a bookcase. = ฉันซื้อไม้เพราะฉันวางแผนว่าจะสร้างชั้นวางหนังสือ

I’m going to Egypt next year. = ฉันวางแผนไว้ว่าจะไปอียิปต์ในปีหน้า

will จะใช้กับการอาสาหรือการพูดถึงด้วยความสมัครใจ ยินดีช่วยเหลือ (รวมถึงการตัดสินใจทันที การทำนาย คำมั่นสัญญา อย่างที่เราเคยเรียนกันไปแล้วก่อนหน้า) เช่น

This bookcase is heavy. I will help you. = ชั้นหนังสือนี่หนักมาก ฉันจะช่วยคุณ(ยก)
This homework is difficult. I will teach you. = การบ้านนี่ยากนะ เดี๋ยวฉันจะช่วยสอนให้

ปกติประโยคที่ใช้พูดถึงอนาคตเรามักจะใช้ will กันจนชินแต่ถ้าอยากเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาอังกฤษขึ้นมาอีกนิดก็ลองใช้ be going to กันดูนะ


เครดิต: เรียนภาษาอังกฤษออนไลนกับ Engoo


Do Does Did Done


Big_29.10.15-engoo

กริยา Do ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอในภาษาอังกฤษ โดยกริยานี้มีความสำคัญมาก เพราะเป็นทั้งกริยาหลักที่แปลว่า “ทำ” (verb TO DO) และในขณะเดียวกันยังเป็นกริยาช่วย (AUXILIARY verb) อีกด้วย
ดังนั้นเพื่อทำความเข้าใจกริยา Do เรามาดูกันดีกว่าว่าใช้ในกรณีไหนบ้าง

กริยา Do (verb TO DO)
เมื่อเป็นกริยาหลัก Do จะแบ่งเป็น 4 รูปแบบคือ Do   Does   Did   Done ดังนี้
    - Present Tense: Do / Does
      I do my laundry on Saturdays. ตามปกติฉันซักผ้าในวันเสาร์
      He does nothing all day. เขาไม่ทำอะไรเลยตลอดทั้งวัน

    - Past Tense: Did
      We did everything we could to help. เราทำทุกอย่างที่เราสามารถทำได้

    - Past Participle: Done
      The video will show you how it is done. วิดีโอจะแสดงวิธีการที่มันถูกทำขึ้นมา

ปกติเราใช้กริยา Do เพื่อแทนที่กริยากระทำอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะในภาษาพูด เช่น
    Have you done the dishes yet? คุณล้างจานหรือยัง  (done = washed)
    Do I need to do my hair? ฉันต้องหวีผมไหม (do = brush or comb)

กริยาช่วย Do (AUXILIARY verb)
เมื่อเป็นกริยาช่วย Do จะแบ่งเป็น 3 รูปแบบคือ Do   Does   Did  ใช้ในประโยคคำถามหรือประโยคปฏิเสธดังนี้

ในประโยคคำถาม
ถ้าเป็น  Simple Present Tense กริยา Do จะอยู่ในรูป  Do / Does
    Do you speak Arabic? คุณพูดภาษาอารบิคใช่หรือไม่? (พูดถึงข้อเท็จจริง)
    Does he drive to work? เขาขับรถไปทำงานใช่หรือไม่ (พูดถึงกิจวัตรปกติ)

ส่วนถ้าประโยคเป็น Past Tense เราจะใช้กริยา Do ในรูป Did
      Did the bus arrive late? รถบัสมาสายใช่หรือเปล่า (พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต)

ในประโยคปฏิเสธ
ถ้าเป็น  Simple Present Tense กริยา Do จะอยู่ในรูป  Don’t / Doesn’t
    You don't speak Spanish. คุณไม่พูดภาษาสเปน
    It doesn't rain in the desert. ฝนไม่ตกในทะเลทราย

ถ้าเป็น Past Tense เราจะใช้กริยา Do ในรูป Didn’t
    They didn't live in Japan. พวกเขาไม่ได้อาศัยอยู่ในญี่ปุ่น (พูดถึงเหตุการณ์ในอดีต)
    I didn't want to go. ฉันไม่ต้องการไป (พูดถึงเหตุการณ์ในอดีต)

***ข้อสังเกตุ เราไม่ใช้กริยาช่วย Do ในประโยคที่มีกริยาช่วย Be (verb To Be) หรือกริยาช่วยอื่นๆ หรือ Modal Verbs (can, must, might, should etc.)

นอกจากนี้ให้จำว่า กริยาหลัก จะต้องอยู่ในรูปช่องที่ 1 เสมออีกด้วย

เครดิต: เรียนภาษาอังกฤษออนไลนกับ Engoo

มาออกเสียงคำกริยาเติม ed ให้ถูกต้องกันเถอะ


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การออกเสียง ed
นำเสนอการใช้ภาษาอังกฤษที่เบสิคมากๆ แต่ก็ยังสับสนกันอยู่ นั่นคือการออกเสียงคำกริยาที่เติม ed ท้ายคำ หรือคำกริยาในรูป past (กริยาช่อง 2) และคำกริยาในรูป past participle (กริยาช่อง 3) เช่น stopped talked และ learned เป็นต้น
ทุกคนอาจเคยสังเกตว่าคำกริยาเติม ed บางทีก็ออกเสียง t (ท) บางทีก็ออกเสียง d (ด) หรือไม่ก็ออกเสียง id (อิด) เหมือนเป็นอีกหนึ่งพยางค์  แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคำไหนออกเสียงอะไรถึงจะถูกกันล่ะ?
ก่อนอื่นเราต้องดูว่าคำกริยานั้นลงท้ายด้วยเสียงก้อง (voiced) เช่น b  m  w  v  d  n  l  z  r  j  g หรือ สียงไม่ก้อง (voiceless) เช่น p  f  t  s  sh  ch  k
ทีนี้เรามาดูหลักการออกเสียงคำกริยาเติม ed กัน มีอยู่ด้วยกัน 3 ข้อ คือ:

1. ออกเสียง t

(ออกเสียงคล้ายๆ ถึ แต่ไม่ถึงกับออกเสียงสระอึ) ก็ต่อเมื่อคำกริยานั้นลงท้ายด้วยเสียงไม่ก้อง เช่น p  f  s  sh  ch  k แต่ยกเว้น t  ตัวอย่างเช่น
  • Talked (ทอคท) ลงท้ายด้วยเสียง k  ฉะนั้นออกเสียง ed เป็น t
  • Kissed (มิสท) ลงท้ายด้วยเสียง s  ฉะนั้นออกเสียง ed เป็น t
  • Stopped (สต็อพท) แม้จะลงท้ายด้วย p สองตัวแต่ออกเสียง p แค่ตัวเดียว  และออกเสียง ed เป็น t  สต็อพผิด สต็อพเผ็ด ไม่มีนะ! สต็อปเป็ด ก็ไม่มี!!

2. ออกเสียง d

(ออกเสียงคล้ายๆ ดึ แต่ไม่ถึงกับออกเสียงสระอึ) ก็ต่อเมื่อคำกริยานั้นลงท้ายด้วยเสียงก้อง เช่น  b  m  w  v  n  l  z  r  j  g แต่ยกเว้น d  ตัวอย่างเช่นLearned (เลิร์นด) ลงท้ายด้วยเสียง n  ฉะนั้นออกเสียง ed เป็น d
  • Loved (เลิฟด) ลงท้ายด้วยเสียง v  ฉะนั้นออกเสียง ed เป็น d
  • Occurred (เอิกเคอร์ด) แม้จะมี r สองตัว  ed ก็ยังออกเสียงเป็น d  ไม่มีเอิกเคอร์ริด

3. ออกเสียง id (อิด)

ก็ต่อเมื่อคำกริยานั้นลงท้ายด้วยเสียง t หรือ d ตัวอย่างเช่น
  • Tested (เทสทิด) ลงท้ายด้วยเสียง t  ฉะนั้นออกเสียง ed เป็น id
  • Needed (นีดิด) ลงท้ายด้วยเสียง d  ฉะนั้นออกเสียง ed เป็น id
  • Submitted (เสิบมิทิด) ลงท้ายด้วยเสียง t  ฉะนั้นออกเสียง ed เป็น id
หลักการออกเสียงคำกริยาเติม ed ก็มีแค่นี้แหละ  แต่เดี๋ยวก่อน! มีข้อ
ยกเว้นด้วย  มีบางคำที่ลงท้ายด้วย ed แต่เป็นคำคุณศัพท์ (adjective) และออกเสียง ed เป็น id ตัวอย่างคำประเภทนี้เช่น
  • Dogged (ดอกิ่ด) หมายถึง ดื้อรั้น  เช่น  a dogged student (นักเรียนหัวรั้น)
  • Learned (เลอร์นิ่ด) หมายถึง มีความรู้  เช่น  a learned man (ชายที่มีความรู้)
  • Naked (เนคิ่ด) หมายถึง เปลือย เช่น  naked eye (ตาเปล่า)
  • Ragged (แรกิ่ด) หมายถึง เก่าและขาด  ขรุขระ  เช่น  ragged cloth (ผ้าที่เก่าและขาด)
  • Wicked (วิคิ่ด) หมายถึง ชั่วร้าย  เช่น  a wicked politician (นักการเมืองชั่วร้าย)
  • Wretched (เรทชิ่ด) หมายถึง เคราะห์ร้าย  เช่น  a wretched boy (เด็กผู้เคราะห์ร้าย)
สังเกตว่าคำว่า learned เมื่อทำหน้าที่เป็นคำกริยาออกเสียง เลิร์นด  แต่เมื่อทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์ออกเสียง เลอร์นิด
เป็นอย่างไรกันบ้าง หลักการออกเสียงคำกริยาที่ลงท้ายด้วย ed ไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะ  พอรู้หลักแล้วอย่าลืมเอาไปฝึกใช้กันด้วยนะ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การออกเสียง ed


เครดิต : dailyenglish

อาการนาม คืออะไร?


อาการนาม หรือ Abstract Noun คือคำนามที่ใช้บอกสถานะ สภาวะ คุณลักษณะต่างๆหลายๆคนอาจจะคุ้นเคยกับกับว่า Abstract (แอ๊บสแตร็คท์) มาแล้วบ้าง เช่น ภาพวาดแบบ abstract หรือภาพยนตร์สไตล์ abstract โดยที่เข้าใจว่าอะไรที่มีเจ้านี่ ลงท้ายมันต้องเป็นพวกเข้าใจยากๆแน่เลย แต่จริงๆแล้วคำว่า abstract เนี่ยแปลว่า นามธรรมค่ะ ตรงข้ามกับคำว่า concrete ที่แปลว่ารูปธรรม ดังนั้น อะไรที่เรามองเห็นด้วยตาเปล่าไม่ได้ จับสัมผัสไม่ได้ ไม่สามารถใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 สัมผัสได้ จึงเรียกว่า Abstract 
abstractnoun

อาการนามเป็นคำนามที่ใช้เรียกเจ้าสิ่งที่เป็นนามธรรมนั่นเอง เวลาแปลเป็นไทย มักจะมีคำว่าการ หรือความนำหน้า เป็นคำนามที่เกี่ยวพันกับความรู้สึก และความคิดหรือมโนทัศน์ (ideas or concepts) เช่นความรู้สึก
love ความรัก
happiness ความสุข
hate ความเกลียด
disgust ความรังเกียจ
admiration ความยกย่องนับถือ
ความคิดหรือมโนทัศน์
education การศึกษา
democracy ประชาธิปไตย
freedom อิสรภาพ
liberty เสรีภาพ
beauty ความงาม
และมีที่มาจากคำชนิดต่างๆ คือ คำกริยา (verb) คำคุณศัพท์ (adjective) และคำนาม (noun)

1. Abstract Noun มีรูปมาจาก Verb

เป็นคำนามที่ใช้บรรยายเหตุการณ์หรือการกระทำ (events or actions)
VerbคำแปลAbstract Nounคำแปล
actกระทำactingการกระทำ
liveอาศัยอยู่lifeชีวิต
knowรู้knowledgeความรู้
pleaseทำให้พอใจpleasureความพอใจ
speakพูดspeechการพูด
succeedสำเร็จsuccessความสำเร็จ
decideตัดสินใจdecisionการตัดสินใจ
organizeจัดการorganizationการจัดการ
drinkดื่มdrinkingการดื่ม
บางคำจะมีรูปเดียวกันกับคำกริยา เช่น
               คำกริยา        คำนาม         ความหมาย
               answer      answer          คำตอบ
               hope          hope           ความหวัง
               trust          trust          ความเชื่อใจ
               attempt    attempt      ความพยายาม
               change     change      การเปลี่ยนแปลง
               fight           fight            การต่อสู้
               shout         shout          การตะโกน
               whisper    whisper         การกระซิบ
               laugh         laugh          การหัวเราะ
               start           start           การเริ่มต้น

2. Abstract Noun มีรูปมาจาก Adjective

ใช้เป็นคำนามที่บรรยายคุณภาพ (qualities)
AdjectiveคำแปลAbstract Nounคำแปล
trueจริงtruthความจริง
wiseฉลาดwisdomความฉลาด
highสูงheightความสูง
poorจนpovertyความยากจน
happyมีความสุขhappinessความสุข
strongแข็งแรงstrengthความแข็งแรง
honestซื่อสัตย์honestyความซื่อสัตย์
braveกล้าหาญbravenessความกล้าหาญ
dieตายdeathความตาย
longยาวlengthความยาว
importantมีความสำคัญimportanceความสำคัญ
goodมีความดีgoodnessความดี
freeอิสระfreedomอิสรภาพ
wealthyร่ำรวยwealthความร่ำรวย
beautifulสวยงามbeautyความสวยงาม
ableสามารถabilityความสามารถ

3. Abstract Noun มีรูปมาจาก Noun

ใช้บรรยายสถานภาพหรือสภาวะ (state or condition)
NounคำแปลAbstract Nounคำแปล
childเด็กchildhoodความเป็นเด็ก
slaveทาสslaveryความเป็นทาส
friendเพื่อนfriendshipความเป็นมิตร
monkพระmonkhoodความเป็นพระ
นอกจากนี้แล้ว ชื่อวิชาต่างๆก็ถือว่าเป็น Abstract noun ด้วยนะคะ เช่น
chemistryเคมีวิทยาmusicดนตรี
grammarไวยากรณ์Englishภาษาอังกฤษ
scienceวิทยาศาสตร์geologyธรณีวิทยา
economicsเศรษฐศาสตร์politicsการเมือง
basketballบาสเก็ตบอลping pongกีฬาปิงปอง
mathematicsคณิตศาสตร์artศิลป์
ทุกคนพอจะเข้าใจอาการนามหรือเจ้า Abstract Noun กันแล้วใช่ไหมคะ ส่วนใหญ่เป็นคำที่เราใช้กันบ่อยๆอยู่แล้ว อย่าลืมนำไปใช้และฝึกฝนบ่อยๆ  เพราะภาษาอังกฤษจะไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้ว

เครดิต : dailyenglish